Wednesday, July 1, 2015

One Year Of Real Work: ประสบการณ์ทำงานปีแรก

     สวัสดีครับทุกคน ผมไม่ได้โพสอะไรมาสักพักแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งอ่านหนังสือสอบ Exam 5 อยู่ครับ แล้วตอนนี้ก็ผ่านเรียบร้อยแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างผมก็ทำงานตอนนี้มาได้ 1 ปีเต็มก็อยากจะมาเล่าสู่ประสบการณ์ให้ฟังครับ
     1 ปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย อาจเป็นเพราะว่าได้อยู่กลุ่มที่อยู่ตอนนี้ด้วย หรือเพราะได้ผู้จัดการคนนี้ด้วย ผมคิดว่าผมโชคดีที่ได้อยู่กลุ่มนี้ เพราะส่วนใหญ่ถ้าทำงานบริษัทใหญ่ๆ จะได้ทำงานแค่บางส่วน ถ้าอยู่ Reserving ก็จะทำแค่ Reserving น้อยนักที่จะได้ทำด้าน Ratemaking หรือด้านอื่นของงานของ Actuary แต่กลุ่มที่ผมอยู่นั้น ผมต้องทำหลายๆอย่าง รวมทั้ง Reserving และ Ratemaking นอกจากนี้ ผมยังได้เรียนรู้ด้าน Business จริงๆนอกเหนืองานของ Actuary ได้ร่วมงานกับส่วนอื่น เช่น Underwriter รวมไปถึงคนระดับ CUO (Chief Underwriting Officer) ได้นั่งประชุมกับระดับผู้จัดการเรื่องการขยาย Business และได้ช่วยออกความคิดเห็นด้านพวกนี้ด้วย
     แม้ว่าผมจะทำงานดีหรือไม่อย่างไร ผมก็มีทำงานพลาดบ้าง โดยเฉพาะตอนเริ่มงานใหม่ๆ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเอามาเป็นบทเรียนให้ตัวผมเองและทุกคนได้

  1. มีอะไรควรถาม: อันนี้ผมเรียนรู้ the hard way ตอนทำงานได้สัก 2-3 เดือนผมได้การ request งานมาจาก underwriter ให้ดึงข้อมูลและทำ analysis บางอย่างให้ โดยการที่ตอนนั้นทุกคนในกลุ่มก็ยุ่งกันอยู่ ผมเลยเกรงใจ ไม่ได้ขอให้ใครเช็คงานให้ก่อนส่ง สรุปมารู้ทีหลังว่างานนั้นกลับกลายเป็นส่งให้ลูกค้า และกลับเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน กลับทำให้เกือบโดนลูกค้าด่า แล้วต้องกลับมาแก้งานใหญ่ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเราไม่แน่ใจอะไร เราก็ควรถาม โดยเฉพาะถ้าเร่าเพิ่งเริ่มงานด้วย
  2. บริหารเวลาให้ดี: หลังจากเริ่มงานแล้ว จากว่าที่เมื่อก่อนเราใช้เวลาเรียนสัปดาห์ละ 12-18 ชั่วโมง ถ้ารวมเวลาทำการบ้านด้วย ก็อาจจะ 20-30 ชั่วโมง แต่ตอนนี้ กลับต้องมาทำงานสัปดาห์ละ 35-40 ชั่วโมง บางสัปดาห์ถ้างานยุ่งจริงๆก็อาจจะมากกว่านั้น แล้วทำงานด้านนี้ทุกคนก็รู้ว่าต้องอ่านหนังสือ Actuary Exam อีก เวลาที่เหลือที่จะทำอย่างอื่นก็น้องลงไปอีก เพราะฉะนั้นเราควรจัดเวลาให้ดี
  3. การเรียนรู้มันเร็วกว่าที่เราคิด: อันนี้นอกจากผมจะเจอเองแล้ว คุยกับคนอื่นที่เริ่มงานพร้อมกันแล้ว คนอื่นก็เป็นเหมือนกัน ผมคิดว่าคงเป็นเพราะเราทำงานอยู่ทุกวัน เราเลยไม่ได้รู้ตัวเองว่าเราพัฒนาตัวเองแค่ไหน ในบางครั้งก็รู้สึกท้อเพราะบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าเราไม่เรียนรู้อะไรแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย แต่พอมาวันหนึ่งคนในทีมอื่นมาขอความช่วยเหลือเรากลับสามารถอธิบายงานได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น อีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือตัวเองพัฒนาขึ้นคือเวลาที่เราต้อง Present งาน ตอนเริ่มงานใหม่เวลาอธิบายงานเสร็จ ถ้าคนอื่นมีคำถามอะไร ผมไม่สามารถตอบอะไรได้เลย พูดได้แต่คำว่าไม่รู้ แต่ตอนหลังผมกลับสามารถตอบได้แบบไม่ต้องลังเลเลย เพราะผมได้รู้วิธีการทำงานจริงๆ ได้ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำจริง ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั้งของผู้จัดการ
  4. รับผิดชอบถ้าทำผิด และไม่เอาเครดิตคนอื่น: ที่ผมเล่าไปก่อนหน้านี้ ที่ผมทำงานผิดพลาด ผมก็ยอมรับตัวเอง แล้วก็ขอโทษคนอื่นที่ทำให้เสียเวลา ทุกคนก็ไม่ว่าอะไรแล้วเราก็จะไว้เป็นบทเรียน แล้วเรื่องไม่เอาเครดิตคนอื่นนี่ไม่ใช่ว่าผมไปทำแบบนั้นนะครับ แต่โดนกระทำ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนจากกลุ่มอื่มมาของาน เพราะมีคนมาขอเขาอีกคนหนึ่ง แต่พอผมส่งงานไปให้ เขากลับส่งงานนั้นไปให้คนที่ขอมาแล้วทำเหมือนว่าเขาเป็นคนทำเอง (ดูจาก E-Mail chain ที่มาทีหลังนะครับว่าเขาทำงั้น) งานที่เขาส่งไป กลับเป็นว่าคนที่ขอมาต้องการข้อมูลเพิ่ม คนนั้นก็ต้องส่งมาขอความช่วยเหลือกับผมอีก ผมก็ไม่ได้อะไรนักหนาหรอกนะครับ แต่มันแค่รู้สึกแย่ว่าทำไมถึงทำแบบนี้
4 อย่างนี้ผมคิดว่าเป็นอย่างใหญ่ที่ผมคิดได้ตอนนี้ เดี่ยวถ้าผมคิดอะไรได้อีกจะมาเล่าให้ฟังกันนะครับ ตอนนี้นอกจากทำงานได้ 1 ปีแล้ว ผมยังได้รับมอบให้ดูแลเด็กฝึกงานด้วย เป็นครั้งแรกที่ผมได้ Manage คนในที่ทำงาน นอกจากว่าเรายังต้องรับผิดชอบงานของตัวเองแล้ว เราต้องรับผิดชอบงานของเด็กฝึกงานด้วย นี่ก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากที่ผมได้เจอมา 1 ปีจริงๆครับ ผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้ว กว่าจะได้ความรับผิดชอบดูแลเด็กฝึกงาน ส่วนใหญ่เขาจะให้คนที่มีประสบการณ์อย่างน้อย 2-3 ปีขึ้นไป ตอนแรกก็กดดันเหมือนกันนะครับบอกตรงๆ 555 เพราะเราก็เคยฝึกงานมาก่อน ประสบการณ์อะไรที่ไม่ดี เราก็ไม่อยากให้น้องเขาเจอ อยากให้เขาได้เรียนรู้งานจริงๆ เหมือนที่ผมได้ผ่านมา