Saturday, October 31, 2015

Some Relevant Links

CAS Website: www.casact.org


SOA Website: www.soa.org


Be An Actuary: www.beanactuary.org


ตอบคำถามที่มีคนถามมา

สวัสดีครับทุกคน ขอโทษนะครับที่หายไปนานเลย พอดีงานยุ่งหน่อยๆ และก็เพิ่งสอบเสร็จ Exam 6 ของ CAS เลยเพิ่งได้มีโอกาศได้มาเขียนอะไรเพิ่มเติม พอดีมีคนถามคำถามมา เลยจะมาตอบให้ฟังนะครับ เผื่อคนอื่่นมีคำถามเดียวกันจะได้ช่วยตอบเลย

"อยากถามว่า การเรียนกับ เจ้าของmanual ส่งผลต่อการสอบไหมคะ เนื่อหาวิชาเรียน เป็นข้อสอบเลยรึเปล่าคะ"
ผมว่าก็ช่วยหน่อยๆนะครับ เนื้อหาวิชาเรียนไม่ได้เป็นข้อสอบเลยนะครับ แต่อาจารย์จะมีคำถามมากกว่าใน Manual และผมว่าช่วยที่เราได้ฟังแกอธิบายเอง ซึ่งผมว่าจะช่วยโดยเฉพาะกับคนที่เรียนรู้เรื่องจาก lecture มากกว่าการอ่านเอง เพราะฉะนั้นผมว่าอยู่ที่คนครับ ถ้าคุณสามารถอ่านเองได้ก็อาจจะไม่ได้ช่วยมากกว่าการอ่านเองสักเท่าไหร่ครับ

"สงสัยว่าที่เรียนหลักสูตรนี้อยู่ สามารถเวฟเล่มได้รึเปล่า หรือต้องสอบเองคะ"
อันนี้อยู่ที่โรงเรียนนะครับ ในอเมริกา SOA กับ CAS ยังไม่มีการทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นในอเมริกา ทุกคนต้องสอบครับ ส่วน CIA (Canada Institute of Actuary) กับ IFA (Institute and Faculty of Actuary of UK) มีการ waive ข้อสอบให้ครับ CIA นี่แน่ใจว่ามี IFA ผมคิดว่ามีแต่ไม่ 100% นะครับ

"อยากถามความคิดเห็นว่าการเรียนสาขานี้ที่ US ส่งผลต่อการหางาน และช่วยด้านการสอบมากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นต่างชาติทีสอบผ่านเพียงเล่มหรือสองเล่ม โอกาสการทำงานเหมือนกับคนที่จบจากที่นุ่นแล้วได้เล่มหรือสองเล่มรึเปล่าคะ วงการนี้ ที่ US เปิดกว้างให้คนต่างชาติรึเปล่า"
จากที่ผมเห็นมา อันนี้แล้วแต่บริษัทนะครับ บริษัทไหนในอเมริกาที่ Sponsor แรงงานต่างชาติจะไม่สนว่าคุณเป็นอเมริกันหรือเปล่า ถ้าคุณสามารถสอบได้ แล้วผ่านสัมภาษณ์ ก็มีโอกาศได้งานเท่ากับคนอเมริกันครับ ส่วนบริษัทไหนที่ไม่ Sponsor อยู่แล้ว ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้ครับ อย่างหนึ่งที่ผมเห็นว่าคนต่างชาติจะเสียเปรียบคนอเมริกันก็คือการสัมภาษณ์ ที่ผ่านมาผมเห็นว่าคนอเมริกันเวลาสัมภาษณ์จะมีความมั่นใจมากกว่าเด็กต่างชาติ อาจเป็นเพราะภาษา อันนี้ผมพูดตามที่เห็นมานะครับ เพราะผมก็เป็นคนช่วยสัมภาษณ์ให้บริษัทที่ผมทำให้อยู่
อีกอย่าง ถ้าอยากมา US จริงๆ อย่างที่เคยพูดในอีก blog ที่นี่เขาจะไม่ได้ดูข้อสอบอย่างเดียว แต่จะเอาประสบการณ์มาดูด้วย และจากที่เคยได้ยินมา ที่ Canada จะดูข้อสอบมากกว่า แต่ผมคิดว่าคงเป็นเพราะ โรงเรียนที่ Canada จะมีโปรแกรมฝึกงานในหลักสูตรการเรียน เพราะฉะนั้นนักเรียนที่จบจะมีประสบการณ์อยู่แล้ว ไม่เหมือนในอเมริกาที่ไม่มีโปรแกรมแบบนี้ครับ

หวังว่านะจะช่วยตอบคำถามได้บ้างนะครับ ถ้าใครมีอะไรเพิ่มเติมก็ Comment มาได้นะครับ ขอบคุณครับ

Wednesday, July 1, 2015

One Year Of Real Work: ประสบการณ์ทำงานปีแรก

     สวัสดีครับทุกคน ผมไม่ได้โพสอะไรมาสักพักแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งอ่านหนังสือสอบ Exam 5 อยู่ครับ แล้วตอนนี้ก็ผ่านเรียบร้อยแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างผมก็ทำงานตอนนี้มาได้ 1 ปีเต็มก็อยากจะมาเล่าสู่ประสบการณ์ให้ฟังครับ
     1 ปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย อาจเป็นเพราะว่าได้อยู่กลุ่มที่อยู่ตอนนี้ด้วย หรือเพราะได้ผู้จัดการคนนี้ด้วย ผมคิดว่าผมโชคดีที่ได้อยู่กลุ่มนี้ เพราะส่วนใหญ่ถ้าทำงานบริษัทใหญ่ๆ จะได้ทำงานแค่บางส่วน ถ้าอยู่ Reserving ก็จะทำแค่ Reserving น้อยนักที่จะได้ทำด้าน Ratemaking หรือด้านอื่นของงานของ Actuary แต่กลุ่มที่ผมอยู่นั้น ผมต้องทำหลายๆอย่าง รวมทั้ง Reserving และ Ratemaking นอกจากนี้ ผมยังได้เรียนรู้ด้าน Business จริงๆนอกเหนืองานของ Actuary ได้ร่วมงานกับส่วนอื่น เช่น Underwriter รวมไปถึงคนระดับ CUO (Chief Underwriting Officer) ได้นั่งประชุมกับระดับผู้จัดการเรื่องการขยาย Business และได้ช่วยออกความคิดเห็นด้านพวกนี้ด้วย
     แม้ว่าผมจะทำงานดีหรือไม่อย่างไร ผมก็มีทำงานพลาดบ้าง โดยเฉพาะตอนเริ่มงานใหม่ๆ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเอามาเป็นบทเรียนให้ตัวผมเองและทุกคนได้

  1. มีอะไรควรถาม: อันนี้ผมเรียนรู้ the hard way ตอนทำงานได้สัก 2-3 เดือนผมได้การ request งานมาจาก underwriter ให้ดึงข้อมูลและทำ analysis บางอย่างให้ โดยการที่ตอนนั้นทุกคนในกลุ่มก็ยุ่งกันอยู่ ผมเลยเกรงใจ ไม่ได้ขอให้ใครเช็คงานให้ก่อนส่ง สรุปมารู้ทีหลังว่างานนั้นกลับกลายเป็นส่งให้ลูกค้า และกลับเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน กลับทำให้เกือบโดนลูกค้าด่า แล้วต้องกลับมาแก้งานใหญ่ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเราไม่แน่ใจอะไร เราก็ควรถาม โดยเฉพาะถ้าเร่าเพิ่งเริ่มงานด้วย
  2. บริหารเวลาให้ดี: หลังจากเริ่มงานแล้ว จากว่าที่เมื่อก่อนเราใช้เวลาเรียนสัปดาห์ละ 12-18 ชั่วโมง ถ้ารวมเวลาทำการบ้านด้วย ก็อาจจะ 20-30 ชั่วโมง แต่ตอนนี้ กลับต้องมาทำงานสัปดาห์ละ 35-40 ชั่วโมง บางสัปดาห์ถ้างานยุ่งจริงๆก็อาจจะมากกว่านั้น แล้วทำงานด้านนี้ทุกคนก็รู้ว่าต้องอ่านหนังสือ Actuary Exam อีก เวลาที่เหลือที่จะทำอย่างอื่นก็น้องลงไปอีก เพราะฉะนั้นเราควรจัดเวลาให้ดี
  3. การเรียนรู้มันเร็วกว่าที่เราคิด: อันนี้นอกจากผมจะเจอเองแล้ว คุยกับคนอื่นที่เริ่มงานพร้อมกันแล้ว คนอื่นก็เป็นเหมือนกัน ผมคิดว่าคงเป็นเพราะเราทำงานอยู่ทุกวัน เราเลยไม่ได้รู้ตัวเองว่าเราพัฒนาตัวเองแค่ไหน ในบางครั้งก็รู้สึกท้อเพราะบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าเราไม่เรียนรู้อะไรแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย แต่พอมาวันหนึ่งคนในทีมอื่นมาขอความช่วยเหลือเรากลับสามารถอธิบายงานได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น อีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกได้คือตัวเองพัฒนาขึ้นคือเวลาที่เราต้อง Present งาน ตอนเริ่มงานใหม่เวลาอธิบายงานเสร็จ ถ้าคนอื่นมีคำถามอะไร ผมไม่สามารถตอบอะไรได้เลย พูดได้แต่คำว่าไม่รู้ แต่ตอนหลังผมกลับสามารถตอบได้แบบไม่ต้องลังเลเลย เพราะผมได้รู้วิธีการทำงานจริงๆ ได้ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำจริง ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั้งของผู้จัดการ
  4. รับผิดชอบถ้าทำผิด และไม่เอาเครดิตคนอื่น: ที่ผมเล่าไปก่อนหน้านี้ ที่ผมทำงานผิดพลาด ผมก็ยอมรับตัวเอง แล้วก็ขอโทษคนอื่นที่ทำให้เสียเวลา ทุกคนก็ไม่ว่าอะไรแล้วเราก็จะไว้เป็นบทเรียน แล้วเรื่องไม่เอาเครดิตคนอื่นนี่ไม่ใช่ว่าผมไปทำแบบนั้นนะครับ แต่โดนกระทำ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนจากกลุ่มอื่มมาของาน เพราะมีคนมาขอเขาอีกคนหนึ่ง แต่พอผมส่งงานไปให้ เขากลับส่งงานนั้นไปให้คนที่ขอมาแล้วทำเหมือนว่าเขาเป็นคนทำเอง (ดูจาก E-Mail chain ที่มาทีหลังนะครับว่าเขาทำงั้น) งานที่เขาส่งไป กลับเป็นว่าคนที่ขอมาต้องการข้อมูลเพิ่ม คนนั้นก็ต้องส่งมาขอความช่วยเหลือกับผมอีก ผมก็ไม่ได้อะไรนักหนาหรอกนะครับ แต่มันแค่รู้สึกแย่ว่าทำไมถึงทำแบบนี้
4 อย่างนี้ผมคิดว่าเป็นอย่างใหญ่ที่ผมคิดได้ตอนนี้ เดี่ยวถ้าผมคิดอะไรได้อีกจะมาเล่าให้ฟังกันนะครับ ตอนนี้นอกจากทำงานได้ 1 ปีแล้ว ผมยังได้รับมอบให้ดูแลเด็กฝึกงานด้วย เป็นครั้งแรกที่ผมได้ Manage คนในที่ทำงาน นอกจากว่าเรายังต้องรับผิดชอบงานของตัวเองแล้ว เราต้องรับผิดชอบงานของเด็กฝึกงานด้วย นี่ก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากที่ผมได้เจอมา 1 ปีจริงๆครับ ผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้ว กว่าจะได้ความรับผิดชอบดูแลเด็กฝึกงาน ส่วนใหญ่เขาจะให้คนที่มีประสบการณ์อย่างน้อย 2-3 ปีขึ้นไป ตอนแรกก็กดดันเหมือนกันนะครับบอกตรงๆ 555 เพราะเราก็เคยฝึกงานมาก่อน ประสบการณ์อะไรที่ไม่ดี เราก็ไม่อยากให้น้องเขาเจอ อยากให้เขาได้เรียนรู้งานจริงๆ เหมือนที่ผมได้ผ่านมา

Sunday, March 22, 2015

How To Become An Actuary: ต้องทำอย่างไรถึงจะได้เป็น นักคณิตศาสตร์ประกันภัย

      สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมจะเขียนเรื่องที่ผมคิดว่าทุกคนควรรู้ก่อนที่จะเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประกันภัยนะครับ จริงอยู่ที่ผมอยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนที่อยากเรียนด้านนี้ แต่ผมก็ไม่อยากให้คนที่มาเรียนด้านต้องมาเสียเวลา 4 ปีเรียนปริญญาตรีด้านนี้เพียงเพราะว่าเป็นงานที่เงินเดือนสูง
      ก่อนที่ผมจะเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประกันภัย ผมได้ใช้เวลาศึกษาและพูดคุยกับ Dr. Ostaszewski ที่ Illinois State University สิ่งที่ผมจำและเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเลือกเรียนที่ ISU ก็คือคำพูดของ Dr. Ostaszewski แกเป็นคนที่ฉลาด และอยากทำให้โปรแกรมที่ ISU เป็นโปรแกรมที่ดีที่สุดในโลก แต่แกไม่แคร์เลยว่าใครจะเก่งมาจากไหน สิ่งหนึ่งที่แกพูดตั้งแต่วันแรก ที่จริงก่อนที่ผมจะเลือกเรียนที่ ISU ด้วยซ้ำ คือถ้าคิดจะเรียนด้านนี้ ต้องทิ้งเกือบทุกอย่างเพื่อตั้งใจอ่านหนังสือ จะไม่ได้มีเวลาเที่ยวเล่นกลางคืนเหมือนเพื่อนเขา อาจไม่มีเวลามีแฟนด้วยซ้ำ แก่จะขู่ตลอดว่าเรียนด้านนี้หนักแค่ไหน ผมคิดว่าข้อนี้เป็นข้อสำคัญทีทุกคนควรเข้าใจนะครับ การสอบ Actuary Exam ไม่ใช่ข้อสอบที่ง่าย 1 ช่วงที่เปิดสอบ มีคนสอบเป็นพันพันคนทั่วโลก แต่มีคนผ่านครั้งละไม่เกิน 40% บางครั้งไม่ถึง 30% ด้วยซ้ำ
      ผมคิดว่ามีคน 2 ประเภทที่สามารถสอบ Actuary Exam ผ่าน:

    1. คนที่มีไหวพริบดี/เรียนรู้เร็ว: ผมคิดว่าคนที่เก่งเลขส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้อยู่แล้ว ไหวพริบเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการสอบมีเวลาไม่มากนัก ต้องคิดเร็ว ทำเร็ว
    2. คนที่ขยัน: ข้อนี้สำคัญมาก ที่ผมเคยเห็นมา บางคนไม่ได้เก่งเลขหรือไหวพริบดีมากนัก แต่อ่านหนังสือเยอะ ก็สามารถสอบผ่านได้ คนที่ไหวพริบดีจริง พอถึง Upper Level Exams ก็ต้องปรับตัวเองให้ขยันเหมือนกัน ไหวพริบอย่างเดียวช่วยไม่เยอะเลย
      เมื่อก่อน ในอเมริกา การเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยไม่จำเป็นต้องมีปริญญาตรีด้วยซ้ำ ถ้าสามารถผ่านข้อสอบได้ก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ทุกคนต้องมีปริญญาตรี แต่ปริญญาโทนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่เลย ผมหวังว่าผมจะให้ข้อมูลทุกคนได้ว่าการหางานนั้นเป็นยังไง แต่ตอนนี้ผมยังไม่เคยทำงานด้านนี้ที่เมืองไทย เลยไม่สามารถให้ข้อมูลด้านนี้ได้มากนัก แต่ในอเมริกานั้น การหาการฝึกงาน บริษัทส่วนใหญ่จะดูนักเรียนที่มี 1 ข้อสอบขึ้นไป ถ้าบริษัทใหญ่หน่อยก็ต้องมี 2 ข้อสอบ ส่วนการหางานหลังจบแล้วนั้น ก็ประมาณเดียวกัน 1 ข้อสอบ 2-3 ข้อสอบสำหรับบริษัทใหญ่ แต่สิ่งที่คนนอกอาจจะไม่รู้สำหรับการหางานในอเมริกานั้นก็คือความคิดของคนที่นี่ หลายคนอาจคิดว่าผ่านหลายข้อสอบนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ที่จริงแล้วมันคือดาบสองคม ถ้าเราผ่านข้อสอบ Preliminary ทั้งหมด 5 ตัว แต่ไม่เคยมีประสบการณ์การฝึกงานเลย เราอาจจะตกอยู่ในกลุ่มที่บริษัทยกว่าอันตรายเกินไป เพราะเขาจะถือว่าเขาต้องจ่ายค่าตัวเราแพง แต่ว่าไม่มีประสบการณ์ที่จะมาช่วยบริษัทเขาได้เลย เขาก็อาจจะเลือกคนที่ผ่านข้อสอบน้อยกว่า แต่มีประสบการณ์เพราะค่าตัวนั้นจะถูกกว่า ที่อเมริกานี้เขาถึงแนะนำการผ่าน 2-3 ข้อสอบถ้าไม่มีประสบการณ์ แต่ถ้ามีแล้วก็เยียบคันเร่งเต็มที่เลยครับ แต่ไม่ควรสอบ Upper Level Exam ก่อนทำงาน Full time นะครับ ไม่ใช่แค่ฝึกงานครับ เพราะข้อสอบพวกนี้ต้องสอบพร้อบประสบการณ์การทำงานจริงๆ

Friday, February 20, 2015

Exam Tips

Actuary Exams ถือว่าเป็นข้อสอบที่ยากที่สุดอันดับหนึ่ง วิธีการอ่านหนังสือของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่มันก็มี basic การอ่านอยู่บ้างที่จะช่วยให้อ่านข้อสอบนี้ได้

  • เวลาที่สมควรทุ่มเทในการอ่านหนังสือควรอ่าน 100 ชั่วโมงต่อการสอบ 1 ชั่วโมง
    • ถ้าข้อสอบ 3.5 ชั่วโมง ก็ควรใช้เวลาอ่านทั้งหมด 350 ชั่วโมง
    • นี่คือหลักที่ผมเคยได้ยินมาตอนที่เรียนอยู่ แต่สำหรับเด็กไทยที่ถ้าภาษาไม่ดีมาก ก็แนะนำว่าให้อ่านมากกว่านี้ เพราะผมมีเพื่อนคนจีนหลายคนที่บอกว่าทำข้อสอบไม่ได้เพราะไม่เข้าใจคำถาม
  • "Been There, Done That" Rule
    • เวลาสอบมีจำกัด สำหรับข้อสอบแรกๆเราได้ 3 ชม. สำหรับ 30ข้อ => 6 นาทีต่อข้อ การใช้เวลาในการคิดจะทำให้เสียเวลา เราต้องทำ practice ให้ได้มากที่สุด เห็นคำถามแล้วสามารถที่จะทำได้เลยโดยไม่คิดมากมาย
  • อย่าคิดว่ามันไม่ออก!
  • พยายามทำความเข้าใจ
    • เวลาอ่านหนังสือ เราจะทำได้ดีที่สุดถ้าเราเข้าใจ แบบ Exam FM มี Formula ให้จำเยอะมากมาย แต่ถ้าเราเข้าใจมัน เราก็จะไม่ต้องจะ และสามารถ derive ได้เองถ้านึกไม่ออกตอนสอบ 
  • ข้ามข้อที่ยากก่อน
    • อันนี้ผมคิดว่าคงเป็น basic strategy ที่ทุกคนเคยได้ยิน ข้ามข้อที่ยาก อย่าเสียเวลากับมัน เพราะมันอาจจะทำให้เราเสียคะแนนของข้อง่า่ยๆที่เราไปไม่ถึงก็ได้
  • พยายามหาหลายวิธีในการหาคำตอบ
    • ผมคิดว่าแต่ละคนมีความสามารถต่างกัน วิธีการหาคำตอบส่วนใหญ่จะมีหลายวิธี ถ้าเรารู้หลายวิธี เราก็สามารถมีทางเลือกหลายทาง และจะใช้เวลาน้อยในการหาคำตอบ อาจารย์ที่สอน FM ผม จะใช้เวลา 0.5-1 ชม ในการทำคำถามข้อนึง เพราะแกจะโชว์การทำประมาณ 3-4 วิธี
    • For example: การหา 5 years term increasing annuity เราจะใช้ formula ก็ได้ถ้าเราจำได้ หรือถ้าขี้เกียจจำก็วาด timeline แล้ว discount payout เอา หรือมีอีก 2 วิธีที่ผมยังนึกได้ ;)
  • พยายามหาเคล็ดลับของตัวเอง
    • ผมจะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นคนขี้เกียจจึงพยายามหาทางลัด เช่นการหา Present Value ของ Bond มีหลาย formula ถ้าจำไม่ผิด อาจารย์ผมให้มาประมาณ 3-4 formula อันที่มี C หรือ g ใน formula แต่ผมเลือกที่จะจำแค่อันเดียวคือ Frank formula(P = Fr * an + K) แล้วก็ทำบ่อยจนไม่ต้องหาวิธีอื่นเลย
  • อย่าท้อถ้าทำ practice ได้คะแนนน้อย
    • บอกตามตรง ตอนทำ Practice Exam ผมได้คะแนนน้อยมาก ทำบ่อยยังไงก็น้อย ก็ไม่เข้าใจ 555 แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ ตอนสอบก็มั่นใจเอง 
Good Luck Everyone!
มีคำถามอะไรก็ถามมาทาง Comment ได้นะครับ :)

Saturday, January 10, 2015

First Fail ... Actually Let's Make It Two: บทเรียนที่หนักที่สุด

   1/10/2015
      ประสบการณ์การสอบของแต่ละคนนั้นคงต่างกัน ผมมีเพื่อนหลายคนที่ไม่ได้สอบผ่านโดยการสอบครั้งแรก หรือตกมาแล้วหลายครั้ง ส่วนผมนั้นผ่าน Preliminary Exams มาได้โดยไม่ได้ตกเลย หลังจาก Prelim ก็ต้องเริ่มสอบ Upper Level Exams ซึ่งผมเริ่มต้นที่ Exam 5: Basic Techniques for Ratemaking and Estimating Claim Liabilities และหลังจากสอบเสร็จก็เริ่มอ่าน CAS Online Course 1: Risk Management and Insurance Operations
     ผมสอบ Exam 5 ตอนเดือนตุลาคม 2014 แต่เนื่องจากว่าเป็นข้อสอบแบบเขียน คือต้องเขียนอธิบายทุกอย่าง ผลสอบจึงต้องรออีก 8 สัปดาห์ ส่วน Course 1 นั้นผมได้สอบตอนเดือนธันวาคม 2014 เป็นข้อสอบ Computer-Based Testing เหมือน Prelim จึงรู้ผลสอบตอนสอบเสร็จเลย
     ผมสอบตก Course 1 โดยคะแนน 60-69% ซึ่งคะแนนผ่านก็คือ 70% หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ผลสอบ Exam 5 ก็ออก และผมตกด้วยคะแนน 5 (คะแนน 6 คือผ่านเหมือน Prelim) สำหรับ Exam 5 นั้น บอกตามตรงว่าหลังสอบเสร็จผมคิดไว้แล้วว่าถ้าไม่ผ่านก็น่าจะได้ 5 และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ส่วน Course 1 นั้นบอกได้เลยว่าผิดคาดและผิดหวังจริงๆ

สิ่งที่ทำพลาด:

  1. Exam 5: 1 อย่างที่อยู่ใน Syllabus (Asset Share Pricing) นั้นได้โดนประกาศว่าจะอยู่ใน Syllabus เป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยทะนงตัว เลยเลือกที่จะไม่อ่านบทนั้น เพราะคิดว่าไหนๆมันก็จะไม่มีอีกแล้ว เค้าคงไม่ถามในข้อสอบหรอก ซึ่งกลายเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะข้อที่คะแนนมากเกือบที่สุดกลายเป็นคำถามของบทนี้
  2. Exam 5: อีกอย่างหนึ่งใน Syllabus ผมก็คิดอีกว่าถ้าออก ก็คงไม่ใช่คำถามที่คะแนนเยอะ (Estimating ULAE) เพราะเป็นส่วนเล็กของหนังสือ ผมเลยทิ้งบทนี้แล้วไปใช้เวลากับบทอื่น แต่กลับเป็นคำถามคะแนนเยอะอันดับสองของทั้งข้อสอบ 
  3. Course 1: ผมอยากบอกว่าผมประมาทจริงๆ ผมใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ ในการอ่านหนังสือสำหรับสอบตัวนี้ แต่ผมไม่ได้ serious มาก เพราะคิดว่ามันคงง่าย ตอนสอบก็ไม่ได้คิดว่ายาก แต่มันเป็นคำถามชนิดว่าคำตอบข้อไหน ถูกที่สุด ซึ่งผมไม่ชอบคำถามพวกนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

บทเรียน

  1. อย่าประมาท ผมเป็นคนเข้าใจวิชาเลขง่ายมาโดยตลอด และเป็นคนที่เวลาเรียนจะตั้งใจเรียน แต่ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ แต่ก็สอบได้ A มาโดยตลอด ก็เลยทะนงตัวเอง ไม่เตรียมพร้อมให้ดีสำหรับการสอบ Course 1 
  2. อย่าคิดว่ามันจะไม่ออก ผมเคยทำแบบที่ผมทำกับ Exam 5 มาแล้วตอนสอบ MLC เพราะข้อมูลมันเยอะ เลยเลือกบางบทที่คิดว่าไม่ออกทิ้งไป ตอนนั้นบทที่ทิ้งไปมันไม่ออกจริงๆ ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้ามีเวลาก็ไม่ควรทำ อย่างน้อยก็ควรทำความเข้าใจให้พอไปได้ ไม่ใช่ทิ้งไปเลย 
ข้อสองที่ว่าอย่าคิดว่ามันไม่ออก ผมก็เคยได้ยิน Dr. Krzysztof Ostaszewski พูดมาตั้งแต่ผมเรียนปีแรกแล้วว่าแกเคยโดน ทิ้งไปบทเดียว ก็พลาดไปคะแนนเดียวที่อยู่ระหว่างผ่านกับตก แต่ก็คิดว่ามันคงไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก เพราะฉะนั้น คนอื่นก็อย่าทำผิดแบบผมนะครับ

Update 7/1/2015 ตอนนี้ผมสอบ Exam 5 เป็นครั้งที่ 2 ผ่านแล้วนะครับ :) แล้วก็สอบ Course 1 ผ่านตอนเดือนมกราคมแล้วด้วยครับ

Preliminary Exams: ประสบการณ์การสอบข้อสอบ Preliminary

ข้อสอบแรก Financial Mathematics

ข้อสอบแรกที่ผมเลือกสอบก็คือข้อสอบ Financial Mathematics เหตุผลก็คือผมได้แนะนำมาว่านี่คือข้อสอบที่ง่ายที่สุด เนื่องจากไม่ต้องมีความรู้ด้าน Calculus 3 พอเรียน prerequisite courses ของ FM เสร็จตอนเทอมแรกของปีแรก ก็ลงเรียนวิชา FM เลยตอนเทอม 2
สำหรับข้อสอบนี้ ผมใช้ Note ที่ได้ในคลาส และ Exam Manual ของ Dr. Krzysztof Ostaszewski (ซึ่งเป็น Director of Actuarial Science at Illinois State University) Manual อันนี้มี Practice exams เยอะ แต่ว่ายาก มันดีที่ทำให้เราเตรียมพร้อม แต่ว่าจะทำให้ท้อหน่อยๆ
ผมสอบข้อสอบนี้ผ่านโดยการสอบครั้งแรก (มิถุนายน 2012) ตอนสอบก็ไม่ได้มั่นใจมาก เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมขนาดนั้น แต่ก็คิดว่าทำได้ คะแนนได้ 9

ข้อสอบที่สอง Probability 

ข้อสอบที่สองที่ผมเลือกสอบก็คือข้อสอบ Probability หลังจากเรียน FM เสร็จผมก็วางแผนใว้อย่างดีว่าจะเรียน Calculus 3 ตอน summer เพราะไม่สามารถลงตอนเทอม 2 ได้ แล้วก็จะเรียน P ตอนเทอมแรกของปี 2 เลย
จากการที่ผมชอบเลขและเข้าใจเลขได้ง่ายอยู่แล้ว ผมเลยรู้สึกว่าวิชานี้กลับง่ายกว่า FM และอาจเป็นเพราะ FM ต้องใช้จำเป็นส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ผมรู้สึกว่าข้อสอบ P จะมีข้อมูลน้อยกว่า FM แต่จะเจอะลึกกว่า ส่วน FM นั้นจะกระจายเป็นหลายๆเนื้อหา และจะมี Concept มากกว่า P
สำหรับข้อสอบนี้ ผมใช้ Note ที่ได้ในคลาส และ Exam Manual ของ ASM ซึ่งเขียนโดย Dr. Krzysztof Ostaszewski manual อันนี้ผมคิดว่าดีมาก เพราะเข้าใจง่าย และมี Practice exams เยอะ
ผมสอบข้อสอบนี้ผ่านโดยการสอบครั้งแรก (มกราคม 2013) ตอนสอบครั้งนี้ต่างจากที่สอบ FM มาก เพราะผมมั่นใจมาก ทำคำถามเสร็จรอบแรกยังเหลือเวลาประมาณชั่วโมงนึง คะแนนได้ 10

ข้อสอบที่สาม Models for Life Contingencies

ข้อสอบต่อไปที่ผมเลือกก็คือ MLC เหตุผลที่เลือกวิชานี้ก็เพราะการแยกทางของ Society of Actuaries และ Casualty Actuarial Society และการประกาศจะออกข้อสอบใหม่ของทาง CAS ซึ่งก็คือ Exam ST ตอนนั้น CAS ประกาศว่านักเรียนที่สอบ MLC ผ่านก่อนปี 2014 จะได้ credit ทั้ง Exam LC และ Exam ST ที่จะมี (ซึ่งเคยมีแต่ Exam 3L) และจากที่ผม ณ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะทำงานทางไหน เลยตั้งใจเป็นอย่างมากว่าต้องสอบข้อสอบ MLC ให้ได้ก่อน 2014 
แม้ว่าผมจะลงเรียน course ที่สอนสำหรับ MLC ผมก็เลือกที่จะอ่าน manual ก่อนอาจารย์จะสอนในห้อง และก็เป็นผลดีทั้งสำหรับการสอบในห้องเรียนและของจริง 
ปีสองเทอมสอง (Spring 2013) นี่ถือว่าเป็นเทอมที่วุ่นวายมากสำหรับผม ผมต้องทุ่มเวลาในการเรียน การอ่านหนังสือสอบ MLC และการหา internship ผมกดดันมากในการหา internship เพราะว่า summer 2013 เป็น summer สุดท้ายในภาคการเรียน และถ้าหา internship ไม่ได้ก็จะกดดันมากในการหางาน 
สำหรับข้อสอบนี้ ผมใช้ Note ที่ได้ในคลาส และ Exam Manual ของ ASM ซึ่งเขียนโดย Dr. Abraham Weishaus manual อันนี้ผมแนะนำมาก เพราะเข้าใจง่าย Practice exam เยอะ และมี exercises หลังบททุกบท
ผมสอบข้อสอบนี้ผ่านโดยการสอบครั้งแรก (พฤษภาคม 2013) ข้อสอบนี้ต่างจากการสอบสองข้อสอบแรกเพราะเป็นข้อสอบเขียน ไม่ใช่ Computer-Based Testing ตอนสอบผมมั่นใจมาก เพราะแม้จะทวนข้อสอบแล้ว ยังเหลือเวลาเยอะใช้ได้ และหลังจากสอบเสร็จไม่ถึง 3 ชั่วโมงผมก็ได้โทรศัพท์จากบริษัทที่ผมสัมภาษณ์งานไว้ว่าได้เลือกผมให้ฝึกงานกับบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ดีใช้ได้เลย (แม้ว่ายังไม่รู้ผลการสอบก็ตาม) คะแนนได้ 10

ข้อสอบที่สี่ Models for Financial Economics

ข้อสอบที่สี่ที่ผมเลือกก็คือ MFE เหตุผลที่ผมเลือกสอบวิชานี้ก็คือเวลาการสอบ MFE นั้นดีสำหรับผมกว่าข้อสอบ C ข้อสอบ C นั้นต้องสอบตอนเดือนตุลาคม ส่วน MFE นั้นเดือนพฤศจิกายน ณ ตอนนั้นผมไม่ได้รู้ศึกเร่งรีบอะไรแล้ว เพราะว่าบริษัทที่ผมฝึกงานด้วยได้เชิญผมให้กลับมาทำงานหลังเรียนจบเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าผมจะไม่ได้รีบร้อนอะไรแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าอยากจะผ่าน Prelim ทุกตัวก่อนที่จะเรียนจบ ผมเลยตั้งเป้าว่าจะสอบตอนเดือนพฤศจิกายน เพราะอย่างนี้ ผมเลยต้องอ่าน manual ก่อนอาจารย์จะสอนในห้องเรียนอีกครั้ง อาจารย์ที่สอนวิชานี้ก็คือ Dr. Krzysztof Ostaszewski แต่ว่าผมเลือกใช้ manual ของ ASM ซึ่งเขียนโดย Dr. Abraham Weishaus เพราะผมชอบ MLC manual ของเขา และก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะ manual เข้าใจง่าย และก็มี exercises หลังบททุกบท
ผมสอบข้อสอบนี้ผ่านโดยการสอบครั้งแรก (พฤศจิกายน 2013) ข้อสอบนี้ผมรู้สึกเหมือนตอนสอบ FM มี concept เยอะ และไม่ได้มั่นใจเหมือนตอนสอบ P และ MLC คะแนนได้ 7

ข้อสอบที่ห้า Construction and Evaluation of Actuarial Models

และข้อสอบ Prelim สุดท้ายก็คือข้อสอบ C วิชานี้สอบสุดท้าย และลงเรียนตอนเทอมสุดท้าย ตอนแรกว่าจะสอบตอนเดือนกุมภาพันกุมภาพันธ์ แต่ก็คิดว่าเวลาอ่านไม่น่าจะพอ เลยเลือกสอบตอนเดือนมิถุนายนแทน เหตุผลอีกอย่างก็คือเป็นเทอมสุดท้ายแล้วเลยต้องทำ Senior Portfolio สำหรับตัวจบ และมี General Education class เยอะเพราะผันมาตลอด ที่ผ่านมาไปเรียนวิชา Major ก่อน 
Manual ที่ผมเลือกใช้สำหรับตัวนี้ก็คือ manual ของ ASM ซึ่งเขียนโดย Dr. Abraham Weishaus เหมือน manual ตัวอื่นของแก manual นี้เข้าใจง่าย และก็มี exercises หลังบททุกบท
ผมสอบข้อสอบนี้ผ่านโดยการสอบครั้งแรก (มิถุนายน 2014) ผมได้สอบวิชานี้หลังจากเริ่มทำงานได้ 2 สัปดาห์ วิชานี้ผมคิดว่าไม่ได้ยากมาก สำหรับผม ผมคิดว่าง่ายกว่า MFE แต่เนื้อหาเยอะจริงๆ คะแนนได้ 9

ถ้าใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับข้อสอบไหน ก็สามารถ comment ได้นะครับ
และผมมี ASM Manual ของ Exam C ฉบับ electronic อยู่ ใครอยากได้ บอกได้นะครับ

Sunday, January 4, 2015

Introduction

สวัสดีครับทุกคน

ผมเป็นคนๆหนึ่งที่โชคดีได้รู้จักวิชาชีพนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ผมรู้จักวิชาชีพนี้ตอนอยู่ปีที่ 3 ของ High School หรือ ม.5 นั่นเอง ตอนนั้นก็กำลังดูอยู่ว่าจะเรียนอะไร แล้ววันนึงพ่อก็บอกให้ลอง ศึกษาวิชา Actuarial Science ดู แล้วมันก็น่าสนใจดี ผมชอบเลขมาตั้งแต่เด็ก วิชาเดียวที่เข้าใจง่ายเหลือเกิน แต่ไม่ชอบการสอนเลย เลยไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี

จากที่ศึกษาดูตอนนั้น Actuary น่าสนใจเพราะว่ามันมีทั้งเลข แล้วก็ Business ผสมอยู่ด้วยกัน และเป็นอะไรที่ท้าทายดี และที่สำคัญที่สุด (และผมรู้ว่าทุกคนไม่ค่อยอยากยอมรับว่าเป็นเหตุผลหลักที่เลือกเรียนทางนี้ 555) ก็คือเป็นอาชีพที่เงินดีมาก!

ตอนที่เลือกโรงเรียนว่าจะเรียนที่ไหน ก็มีอยู่ 2-3 โรงเรียนที่ดูเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เลือกเรียนที่ Illinois State University ซึ่งเป็นโรงเรียนอันดับต้นๆของโลกทางด้านวิชานี้ ที่เมืองไทยอาจจะยังไม่มีโรงเรียนที่มีโครงการทางวิชานี้เท่าที่อเมริกา แต่ผมเชื่อว่าเด็กไทยหลายคนมีความสามารถที่จะมาทางนี้ได้เอง

ปีที่ 2 ที่ ISU ผมก็ได้รับเลือกให้ฝึกงานที่ บริษัท Liberty Mutual Insurance ที่เมือง Chicago ซึ่งนั่นก็คือเวลาที่ผมเลือกว่าจะไปทางประกันภัย ไม่ใช่ประกันชีวิต พอฝึกงานจบ บริษัทก็ได้ offer งานหลังเรียนจบตอนนั้นเลย และตอนนี้ผมก็ทำงานอยู่กับ Liberty Mutual Insurance ครับ

Connect กับผมทาง LinkedIn ได้นะครับ: https://www.linkedin.com/pub/kamolphan-weeraklaew/49/189/8b4

ข้อสอบเพื่อการเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

Path Toward Fellowship of Casualty Actuarial Society

Preliminary Exams

  • 1/P - Probability Exam
  • 2/FM - Financial Mathematics Exam
  • 3F/MFE - Models for Financial Economics Exam
  • 4/C - Construction and Evaluation of Actuarial Models Exam
  • S - Statistics
  • VEE Economics
  • VEE Corporate Finance
  • VEE Applied Statistical Methods

Associateship Exams

  • 5 - Basic Techniques for Ratemaking and Estimating Claim Liabilities
  • 6 - Regulation and Financial Reporting
  • Course 1 - Risk Management and Insurance Operations
  • Course 2 - Insurance Accounting, Coverage Analysis, Insurance Law and Insurance Regulation
  • Course on Professionalism

Fellowship Exams

  • 7 - Estimation of Policy Liabilities, Insurance Company Valuation, and Enterprise Risk Management
  • 8 - Advance Ratemaking
  • 9 - Financial Risk and Rate of Return
ถ้าใครมีคำถามอะไร Comment ได้นะครับ

Update 1/4/2017: ตอนนี้ CAS ได้ออกประกาศว่าจะไม่รับ Exam C ของ SOA อีกหนังจากปี 2017 เริ่มต้นตั้งแต่ 2018 เป็นต้นไป CAS จะมี 2 ข้อสอบใหม่ (Modern Actuarial Statistic I & II) MAS I จะมาแทม Exam S (อีกแล้ว) และ MAS II จะมาแทน Exam C/4
ใครที่ยังไม่ได้สอบ แล้วยังไม่มีงาน ก็รีบสอบ C ก่อนก็น่าจะดีนะครับ จะได้ Credit ทั้งสองทาง
http://www.casact.org/press/index.cfm?fa=viewArticle&articleID=3520